เคล็บลับเลือกสีทาบ้านทนทานขั้นสุด สวยนานเหมือนมืออาชีพเลือกให้

สีบ้านทนทานขั้นสุด

รู้หรือไม่ การเลือกสีทาบ้านให้ทนทานขั้นสุดไม่ใช่เรื่องยาก! สร้างบ้านหรือรีโนเวทบ้านทั้งทีก็อยากจะให้บ้านเราสีสวย สะอาด ทนแดด ทนฝน ทนได้หมดทุกสภาวะอากาศไปนาน ๆ ใช่ไหม สีทาบ้านทนทานสูงจึงเป็นกุญแจสำคัญในเคสนี้ แต่สิ่งที่ลืมไปไม่ได้เลยก็คือการเตรียมพร้อมให้พื้นผิวผนังของเรา ร่วมกับการใช้สีทาบ้านทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด เพราะเราก็คงไม่อยากต้องมานั่งเสียเวลาแก้ปัญหาสีบ่อย ๆ 

วันนี้เราเลยจะมาแนะนำ 4 เคล็ด (ไม่) ลับที่ถ้าทุกคนรู้ไว้ ทาสีบ้านครั้งเดียวก็จะได้บ้านสีสวยสดใส แถมทนทานนานเกินหน้าเกินตาเพื่อนบ้านได้เลย

 

1. เตรียมพื้นผิวให้ดี เหมาะแก่การทาสีบ้าน 

การเตรียมผิวที่ดีจะช่วยเสริมให้สีบ้านทนทานมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการทาสีบ้านทนทานที่จะขาดไปไม่ได้เลย โดยวิธีเตรียมพื้นผิวให้ดีเหมือนช่างมืออาชีพจะมีลำดับดังนี้เลย

  • ทำความสะอาดพื้นผิวให้ปราศจากฝุ่นผง เศษสกปรก หรือคราบน้ำมันต่าง ๆ 
  • พื้นผิวที่มีปัญหาลอกล่อนหรือฟิล์สีแตกให้ขูดแซะฟิล์มสีเดิมออกให้หมด
  • พื้นผิวที่มีเชื้อรา ตะไคร่น้ำ แนะนำให้ขัดล้างและกำจัดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อราอย่าง Beger Mouldfree M-001 ก่อนเสมอ
  • แปะเทปกาวในจุดที่ไม่ต้องการให้โดนสีอย่างขอบหน้าต่าง ขอบประตู ขอบบัว หรือปลั๊กไฟ
  • ทาสีรองพื้นและสีทับหน้าทนทานสูงตามระบบสีที่แนะนำ

เตรียมผิว

 

2. เลือกสีรองพื้นที่ตรงกับประเภทของผนังปูน

เนื่องจากบ้านของแต่ละคนอาจมีระยะเวลาสร้างที่ต่างกันออกไป ก่อนจะทาสีรองพื้นและสีบ้านทนทานทุกครั้ง เราจึงต้องรู้ก่อนว่าผนังปูนบ้านเราจัดเป็นปูนประเภทไหน โดยดูได้จากช่วงระยะเวลาที่ฉาบปูนขึ้นมา แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

  • ปูนเก่า หมายถึง ปูนที่ฉาบมาแล้วเกิน 6 เดือน เคยทาสีมาแล้ว หรือมีปัญหาผนังเสื่อมสภาพ สีลอกล่อน หรือฝุ่นชอล์ก  
  • ปูนใหม่ หมายถึง ปูนที่ฉาบมาแล้วอย่างน้อย 1 เดือน หรือประมาณ 3-4 สัปดาห์
  • ปูนสด หมายถึง ปูนที่เพิ่งฉาบเสร็จ 2 วันเป็นต้นไป มีความชื้นสูง

เมื่อเราทราบประเภทปูนแล้วก็จะได้เลือกใช้สีรองพื้นที่เหมาะสมมากขึ้น ช่วยให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะของสีสูงขึ้นด้วย โดยสามารถเลือกได้ทั้งสีรองพื้นปูนเก่า สีรองพื้นปูนใหม่ หรือสีรองพื้นปูนอเนกประสงค์ที่สามารถทาได้ทุกประเภทปูนอย่าง B-1900 หรือ B-3100 ซึ่งสีรองพื้นแต่ละตัวจะมีคุณสมบัติทนความชื้นสูง โดยสูงสุดที่ 75% ซึ่งเรียกได้ว่าครอบคลุมงานทาสีหลังฝนตกที่ความชื้นสูงมากได้เลย

ทารองพื้น

 

3. พิจารณาผนังบ้านที่ต้องการทาสี

ผนังภายนอกและผนังภายในมีบทบาทและปัญหาที่ต้องเผชิญต่างกันไม่น้อย ดังนั้น เราจึงต้องเลือกสีให้เหมาะกับพื้นที่ที่เราเลือกจะทาด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากการมีสีทาบ้านสำหรับทาภายนอกและสำหรับทาภายในโดยเฉพาะ ซึ่งพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์พื้นที่ที่ต่างกันของบ้านทั้งหลังนั่นเอง

โดยผนังภายนอกจะเปรียบเสมือเกราะป้องกันบ้าน เพราะต้องเจอกับทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะแดด ฝน ลม หนาว เสี่ยงเกิดปัญหาสีแตก ลอกล่อน ฝุ่นชอล์ก เชื้อราได้ง่ายมาก ๆ โดยเฉพาะถ้าเลือกสีคุณภาพไม่ดีและไม่มีคุณสมบัติทนทานสูง ยึดเกาะแน่น สะท้อนความร้อน และทำความสะอาดตัวเองได้ซึ่งจะเสริมให้บ้านเราสวยสดยาวนานหลายปี 

สำหรับผนังภายในอาจไม่ต้องเจอแดดเจอฝน แต่ก็ต้องเผชิญกับการใช้งานภายในบ้านทุก ๆ วัน สีที่มีคุณสมบัติทนทานสูงทั้งรอยขีดข่วนหรือขัดถูจึงจำเป็นพอ ๆ กันกับคุณสมบัติเช็ดล้างง่าย ลดการฝังตัวของคราบสกปรก กลิ่นอ่อน ปลอดภัยสำหรับทุกคนในบ้าน รวมถึงฟอกอากาศได้ด้วย 

ข้อควรรู้คือ สีทาภายนอกนำไปใช้กับงานภายในได้ แต่สีทาภายในจะนำไปใช้กับงานภายนอกไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสู้สภาวะต่าง ๆ และให้ความทนทานน้อยกว่า จึงไม่แนะนำให้ใช้ผิดประเภท

งานภายนอก ภายใน

 

4. เลือกสีบ้านทนทานขั้นสุด

มาถึงพระเอกของเราซึ่งก็คือสีทาบ้านหรือสีทับหน้าที่หลายคนคุ้ยเคย แต่อาจไม่รู้ว่า สีทาบ้านทนทานสูงจากเบเยอร์มีหลายเกรด หลายราคา ตอบโจทย์ทุกคุณภาพและคุณสมบัติสีที่เจ้าของบ้านต้องการ แม้สีทาบ้านทนทานเกรดสูงจะอาจมีราคาสูง แต่คุ้มค่ากว่าการที่เราจะต้องมาทาสีบ้านใหม่บ่อย ๆ แน่นอน โดยเฉพาะรุ่นที่มีเทคโนโลยีพันธะเพชร (Diamond Bond) ล็อกสีให้ทนทานสูงสุดมากกว่า 17 ปี 

เกรดสีทาบ้านทนทานสำหรับงานภายนอกจะให้ประสิทธิภาพในการปกป้องบ้านและทนทานนานต่างกันไป ดังนี้

  • สีทาบ้านเกรด Economy ทนทานน้อยกว่า 5 ปี 
  • สีทาบ้านเกรด Standard ทนทาน 5-8 ปี
  • สีทาบ้านเกรด Premium ทนทาน 10-12 ปี
  • สีทาบ้านเกรด Ultra Premium ทนทาน 15 ปี+ 
  • สีทาบ้านเกรด Super Ultra Premium ทนทาน 17 ปี+

BegerCool 15

คุณสมบัติของสีบ้านทนทานที่สำคัญอีกอย่างคือ สะท้อนและกันความร้อน ซึ่งจำเป็นสำหรับประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อนและเผชิญสภาพอากาศที่รุนแรงบ่อยครั้ง จึงจะเป็นการดีกว่าหากได้ทาสีบ้านทนทานและบ้านเย็นไปพร้อมกัน โดย BegerCool DiamondShield 15 ถือเป็นตัวจบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างตรงจุด เพราะสุดยอดนวัตกรรมเซรามิกคูลลิ่ง (Ceramic Cooling) ช่วยสะท้อนความร้อนได้ทันที และยังทำหน้าที่เสมือนฉนวนกันร้อน ไม่ให้เข้ามาในตัวอาคาร จึงประหยัดไฟมากกว่า 32% ลดอุณหภูมิภายในบ้านได้มากถึง 6 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว 

และที่สำคัญไม่เพียงเฉพาะสีเบเยอร์คูล แต่ผลิตภัณฑ์จากเบเยอร์ยังเป็นสีที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้และเจ้าของบ้าน ปราศจากสารระเหยและสารโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อบ้านทนทานแล้ว บ้านเย็นแล้ว บ้านเราก็ต้องปลอดภัยจะได้อยู่สบายทั้งกายและใจไปนาน ๆ เลยนะครับ ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใช้สีเบเยอร์รุ่นไหนดี ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลยที่ Line: @begerpaint ในวันและเวลาทำการครับผม

SHARE :
กรุณาเลือกหมวดหมู่การค้นหา และพิมพ์คำค้นหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง