
หลายคนอาจไม่เคยคิดว่า “สีทาบ้าน” ที่ใช้กันอยู่ทุกวันอาจเป็นแหล่งกำเนิดของมลพิษภายในบ้านได้อย่างไร — แต่คำตอบอยู่ที่ “สารระเหยอินทรีย์” หรือที่เรียกว่า VOCs ซึ่งเป็นสารที่ระเหยออกจากสีระหว่างการทาและหลังทา สาร VOCs เหล่านี้อาจรวมถึงสารเคมีอย่างฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde), โทลูอีน (Toluene) และไซลีน (Xylene) ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ เช่น ระคายเคืองตา จมูก และลำคอ, ปวดหัว วิงเวียน คลื่นไส้และหากได้รับในระยะยาว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจและโรคเรื้อรังบางชนิด
บ้านใหม่อาจไม่สดชื่นอย่างที่คิด
การทาสีใหม่มักมาพร้อมกลิ่นฉุน — นั่นคือสัญญาณของการปล่อย VOCs เข้าสู่บรรยากาศภายในบ้าน ซึ่งอาจสะสมในพื้นที่ปิด เช่น ห้องนอน ห้องเด็ก หรือห้องทำงาน ทำให้อากาศภายในบ้านแย่กว่าภายนอกถึง 2–5 เท่า (ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก WHO)
เทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพ: “สีปลอดสารระเหย” เพื่อบ้านที่ปลอดภัยกว่า
ในยุคที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สีทาบ้านจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความสวยงาม” อีกต่อไป แต่ต้องคำนึงถึง “คุณภาพอากาศ” ภายในบ้านด้วย สีปลอดสารระเหยอันตราย (Low-VOCs หรือ Zero-VOCs Paint) คือคำตอบของบ้านยุคใหม่ ที่ให้ทั้งความสวยงาม ความปลอดภัย และยังเป็นมิตรต่อโลก เพราะ
- ปล่อยสารระเหยน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย
- ลดกลิ่นฉุนที่มักทำให้เวียนหัว
- ช่วยให้ผู้ใช้งานอยู่ในพื้นที่ได้ทันทีหลังทาโดยไม่ต้องรอระบายอากาศนาน
BegerShield AirFresh Gold iON สีที่คิดเพื่อสุขภาพของคนในบ้าน
หนึ่งในนวัตกรรมสีปลอดสารระเหยที่ได้รับความสนใจคือ BegerShield AirFresh Gold iON ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ “บ้านหายใจได้” อย่างแท้จริง ด้วยคุณสมบัติเด่นที่ผสานเทคโนโลยีขั้นสูงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1. ปกป้องขั้นสุดด้วยเทคโนโลยี
เทคโนโลยีล่าสุดที่ ยับยั้งเชื้อโรคได้มากกว่า 20 ชนิด* ทั้งแบคทีเรียและไวรัสที่มักพบในบ้าน ลดความเสี่ยงต่อโรคติดต่อที่แพร่กระจายทางอากาศ
2. ฟอกอากาศและกำจัดมลพิษ
สามารถดูดซับและสลายสารพิษอย่าง ฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งมักปล่อยจากเฟอร์นิเจอร์หรือวัสดุก่อสร้าง ช่วยให้อากาศภายในบ้านสะอาดขึ้นทุกวัน
3. กลิ่นอ่อนจนแทบไม่รู้สึก
หมดปัญหากลิ่นสีฉุนที่รบกวนการใช้ชีวิต เหมาะสำหรับบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่แพ้กลิ่นง่าย
4. เช็ดล้างได้สูงสุดกว่า 450,000 รอบ**
พื้นผิวสีทนต่อการทำความสะอาดสูง เหมาะกับบ้านที่ต้องการความสะอาดอยู่เสมอ เช่น ห้องครัว ห้องเด็ก หรือพื้นที่สาธารณะ
เพื่อบ้านที่ “สวย-สะอาด-ปลอดภัย” ทั้งคนและโลก
การเลือกสีทาบ้านที่ดีในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องรสนิยม แต่คือ “การลงทุนในสุขภาพระยะยาว” การเลือกใช้สีที่ปลอดสารระเหย ไม่มีกลิ่นฉุน และมีเทคโนโลยีฟอกอากาศ จะช่วยให้
- บ้านของคุณสะอาด ปลอดภัย และอากาศสดชื่นขึ้น
- ลดการปล่อยสารเคมีสู่สิ่งแวดล้อม
- สอดคล้องกับแนวคิดบ้านรักษ์โลก (Eco-Friendly Home)
เพราะบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่ — แต่คือ “พื้นที่แห่งสุขภาพที่คุณสร้างได้” การเลือกสีปลอดสารระเหย เช่น BegerShield AirFresh Gold iON คือก้าวหนึ่งของการดูแลคนในบ้านอย่างใส่ใจในทุกลมหายใจ ไม่เพียงเพื่อความงามของผนัง แต่เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “สีปลอดสารระเหย” เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
Q1 : สีทั่วไปมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?
A : สีทั่วไปมักมี สารระเหยอินทรีย์ (VOCs) ซึ่งสามารถฟุ้งกระจายเข้าสู่อากาศในระหว่างและหลังการทาสี สารเหล่านี้ เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) หรือโทลูอีน (Toluene) อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา แสบจมูก เวียนหัว และหากได้รับสะสมในระยะยาว อาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจหรือภูมิคุ้มกันได้
Q3 : สีปลอดสารระเหยต่างจากสีทั่วไปอย่างไร?
A : สีปลอดสารระเหย (Low-VOCs หรือ Zero-VOCs Paint) ถูกออกแบบให้ปล่อยสารเคมีอันตรายน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย จึงมีกลิ่นอ่อน ไม่ฉุน เหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้แพ้ง่าย อีกทั้งยังช่วยลดการสะสมของมลพิษภายในบ้านและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Q4 : ทำไม BegerShield AirFresh Gold iON ถึงเหมาะกับคนรักสุขภาพ?
A : เพราะเป็นนวัตกรรมสีเพื่อสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยี Gold iON ยับยั้งเชื้อโรคได้มากกว่า 20 ชนิด* พร้อมทั้งมีคุณสมบัติฟอกอากาศ กำจัดฟอร์มัลดีไฮด์ และกลิ่นอ่อนจนแทบไม่รู้สึก ช่วยให้บ้านสะอาด ปลอดภัย และอากาศสดชื่นยิ่งขึ้นทุกวัน
Q5 : สีฟอกอากาศช่วยปรับคุณภาพอากาศในบ้านได้จริงหรือไม่?
A : ช่วยได้จริงครับ สีฟอกอากาศจะทำงานโดยการดูดซับและสลายสารพิษ เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์ ซึ่งมักปล่อยออกมาจากเฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งบ้าน เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องจะช่วยลดมลพิษภายในอาคารและทำให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น
Q6 : สีปลอดสารระเหยมีส่วนช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างไร?
A : การใช้สีปลอด VOCs ช่วยลดการปล่อยสารพิษสู่บรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมลพิษทางอากาศและภาวะโลกร้อน อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ผลิตและผู้ใช้งาน จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีต่อทั้ง “คน” และ “โลก” อย่างแท้จริง

