เบเยอร์ ยึดปรัชญา Eco Wellness Innovation สร้างนวัตกรรมสีรักษ์โลก

เบเยอร์ ดำเนินกิจการตามปณิธานขององค์กรที่มุ่งเน้น Eco-Wellness Innovation สีนวัตกรรม รักษ์โลก รักคุณ มาอย่างยาวนาน โดยนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการดูแลโลกและรักษาสิ่งแวดล้อม จนสามารถสร้าง Segment สินค้าสีทาอาคารและเคมีภัณฑ์ที่ช่วยสะท้อนความร้อนได้สำเร็จ ทำให้ครองใจผู้บริโภคมาได้อย่างยาวนาน

หากมองถึงภาพรวมทิศทางการเติบโตของธุรกิจสีทาบ้านในปัจจุบัน จะเห็นว่าการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลเชิงบวกโดยตรงต่อการเติบโตของธุรกิจสีทาบ้านด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อตลาดโตย่อมหลีกไม่พ้นเรื่องของการแข่งขันที่เข้มข้นอย่างต่อเนื่อง แต่เบเยอร์เปลี่ยนการแข่งขันด้านราคามาเป็นการสร้างสรรค์สินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคสมัยปัจจุบันให้ได้มากที่สุด ด้วยมองว่าประโยชน์ของสีไม่ได้มีแค่เรื่องความสวยงามและคงทนเพียงอย่างเดียว

ขณะเดียวกัน เบเยอร์ยังเป็นแบรนด์ที่สร้างความแตกต่าง ด้วยการตระหนักต่อผลกระทบของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Emission จากการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมมาโดยตลอด เนื่องจากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตสีไทยพบว่า Overall Industry Carbon Emission มีค่า 854,123 ton CO2eq ต่อปี ดังนั้นภารกิจสำคัญอีกเรื่องของเบเยอร์ คือการดำเนินธุรกิจโดยยึดแนวคิด Sustainability ในทุกกระบวนการผลิต ก่อนจะส่งมอบสีถึงมือลูกค้า

 

เบเยอร์ ปรัชญา

 

“เบเยอร์เป็นผู้ผลิตสีรายแรกในประเทศที่ผลักดันให้เกิดสินค้าสีที่ช่วยสะท้อนความร้อน ประหยัดค่าไฟ อย่างสีเบเยอร์คูล สีบ้านเย็นไม่ว่าจะเป็นเฉดสีไหน เข้มก็ Cool ได้ และปัจจุบันสามารถต่อยอดไปในคุณสมบัติการเป็นสีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย” 

ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ อธิบายถึงภารกิจในการสร้างสรรค์สินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค พร้อมกับมีส่วนผลักดันตลาดด้วยนวัตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

ตลอดเส้นทางกว่า 63 ปีของเบเยอร์ ปัจจัยที่ทำให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของบ้านหรือผู้ใช้งาน คือความมุ่งมั่นค้นคว้าวิจัยสีนวัตกรรมใหม่ๆ  และไม่หยุดที่จะนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด  เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและยกระดับความเป็นอยู่  (Living  Solution)  ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน

ดร.วรวัฒน์ เผยว่าหนึ่งในความภาคภูมิใจสูงสุดของเบเยอร์ คือนวัตกรรมเซรามิกคูลลิ่ง (Ceramic Cooling) ที่ช่วยให้บ้านเย็นด้วยหลักการสะท้อนความร้อน ซึ่งมีคุณสมบัติเสมือนฉนวนป้องกันความร้อน โดยเป็นสารชนิดเดียวกับที่องค์การ NASA เลือกใช้ในการเคลือบกระสวยอวกาศ เพื่อใช้ในการป้องกันความร้อนระหว่างการเดินทาง ที่สำคัญนวัตกรรมนี้ยังมีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งได้รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (National Innovation Awards) ถือเป็นรายแรกและรายเดียวในธุรกิจสีประเทศไทย

“เราดีใจที่ได้มีส่วนร่วมผลักดันและยกระดับมาตรฐานสีทาอาคารของไทย จนภาครัฐให้ความสนใจและมีการกำหนดเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ ชื่อมาตรฐานสีลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ หรือมอก.2514-2564 ที่ใช้เกณฑ์ในการวัดค่าการสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์แบบเดียวกันกับมาตรฐานสีอื่นๆ ทั่วโลก และมาตรฐานฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทน กระทรวงพลังงาน สำหรับสินค้าสีทาบ้านซึ่งได้มีการใช้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน”

 

โรงงานเบเยอร์

 

ยิ่งไปกว่านั้น นวัตกรรมสีของเบเยอร์ยังสามารถลดการปลดปล่อยคาร์บอนในตัวสินค้า ตลอดขั้นตอนการผลิตจนถึงมือผู้ใช้งาน ถือเป็นสีรายแรกในประเทศที่ได้การรับรองฉลากลดโลกร้อน จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

นวัตกรรมที่ดีจะเริ่มต้นไม่ได้ หากองค์กรขาด Core Value ที่ชัดเจน เพื่อเป็นทิศทางให้พนักงานใช้เป็นหลักยึดในการทำงาน เบเยอร์มีหลักในการดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่แรกคือ FOCUS คือ F-Flexibility & Agile ความยืดหยุ่นและคล่องตัว, O-Ownership by Entrepreneurial Spirit จิตวิญญาณของผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจ, C-Creative and Innovation การสร้างสรรค์ด้วยนวัตกรรม และ U-Unified Teamwork ในการพัฒนาสินค้าและบริการด้วยนวัตกรรมให้เหมาะสมต่อโลกปัจจุบันและความต้องการของเจ้าของบ้านและผู้ใช้งาน อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ S -Sustainability หรือความยั่งยืน เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินตลอดไปอย่างยั่งยืนยาวนาน

 

รถ EV เบเยอร์

 

“เบเยอร์มีการลงทุนกับความยั่งยืนในระยะยาวเพื่อให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงสุดและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบทางเลือกที่มาจากธรรมชาติ หรือ Bio-based ผ่านเข้าสู่การผลิตสีระบบปิดด้วยกระบวนการ AVID (Advance Vacuum Inline Dispersion) ที่ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อปราศจากของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต โดยใช้พลังงานสะอาดด้วยไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในการผลิต ตลอดจนพัฒนาระบบจัดส่งอัจฉริยะควบคุมกระบวนการจัดสินค้าด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และคำนวณเส้นทางการส่งที่ประหยัดน้ำมันสูงสุด เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของเบเยอร์เป็นการส่งมอบสินค้าถึงมือผู้บริโภคที่มีค่าการปลดปล่อยคาร์บอนที่ต่ำที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และลดลงได้อีกในอนาคต”

ด้วยความเป็นบริษัทนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ทำให้เบเยอร์มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จเพื่อสร้างความยั่งยืน ร่วมกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับเมกะโปรเจ็กต์มูลค่า 120,000 ล้านบาท ที่ได้รับรางวัล LEED Platinum อย่างโครงการ One Bangkok โดยเบเยอร์มีโปรแกรมการรับคืนถังสีที่ใช้งานแล้ว เพื่อนำไปทำความสะอาดอย่างถูกต้อง และ Recycle ถังสีกลับไปใช้ใหม่ได้ 100% และมีแผนขยายผลนำไปใช้ในโครงการอื่นๆ ต่อไป

อีกทั้งยังจับมือกับองค์กรระดับโลก NOVA Paint Club เพื่อร่วมทำโครงการ Cool Roof Cooler Planet ซึ่งมีจุดประสงค์ในการรณรงค์ร่วมกันทั่วโลก เพื่อผลักดันและสนับสนุนการทาสีหลังคาที่มีคุณสมบัติการสะท้อนความร้อน สำหรับในภาครัฐ เบเยอร์ได้นำร่องจับมือกับกรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยทาสีหลังคาของโรงเรียนในสังกัดกทม. เพื่อลดความร้อนให้กับห้องเรียน และมีส่วนช่วยให้นักเรียนมีความสบายด้วยหลักการลดความร้อนที่เป็นคุณสมบัติเด่นของสีเบเยอร์ เพื่อสนับสนุนให้เกิดสมาธิในการเรียน

 

วิสัยทัศน์ เบเยอร์

 

แผนงานต่อจากนี้ ดร.วรวัฒน์ ย้ำว่า เบเยอร์จะยังคงยึดมั่นใน Core Value ที่มีเรื่องความยั่งยืนเป็นแกนสำคัญมาเป็นหมุดหมายในการดำเนินธุรกิจ โดยจะมุ่งมั่น พัฒนา ปรับปรุง และสร้างสรรค์สินค้า โดยนำเอานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยแก้ไขปัญหา ยกระดับ Living Solution ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม เช่น สีเบเยอร์คูล สีบ้านเย็น ที่ช่วยลดความร้อนในบ้านและช่วยประหยัดไฟไปพร้อม ๆ กับการลดคาร์บอน ซึ่งเป็นสินค้าสีทาบ้านรายแรกที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) รวมถึงการผลิตสีที่สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของผู้ใช้งาน

“จากรางวัลมากมายที่เป็นเครื่องการันตีคุณภาพของสีเบเยอร์  ทำให้เราไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาและสร้างสรรค์ รวมทั้งตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมและโลกในเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมุ่งเน้นในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 เราต้องการเป็นหนึ่งในแรงกระตุ้น เชิญชวนให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในธุรกิจสี รวมถึงในทุกภาคส่วนหันมาตระหนักและรณรงค์ในเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจัง เพื่อตัวคุณเองและเพื่อโลกใบนี้”

SHARE :
Please select the search topic and type related keywords